จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

18747

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คำคมจากขงเบ้ง


  • ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
  • เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาสเพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วยดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
  • นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
  • ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
  • ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
  • ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
  • ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
  • ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิดเดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
  • เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
  • การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
  • ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
  • ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
  • ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
  • อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
  • เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
  • เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
  • เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูตเพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)
  • เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
  • เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
  • เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี.
  • สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย 
  • คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
  • ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
  • คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
  • เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต
  • ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว
  • อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม
  • อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
  • ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
  • เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
  • นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
  • ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
  • จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3
  • ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
  • มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ
  • คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว
  • ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี
  • ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
  • เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ
  • ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น
  • เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต
  • ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
  • เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
  • การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
  • ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
  • อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
  • เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร
  • เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
  • คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
  • ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
  • อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
  • ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี
  • ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ
  • ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า
  • เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้
  • คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม
  • ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
  • ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน
  • ความรู้ คือ อำนาจ
  • นั่งภูดูเสือ กัดกัน
  • เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท
  • ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้
  • ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
  • น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น
  • ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ການບໍລິຫານການຂາຍ

ການບໍລິຫານການຕະຫຼາດປະກອບດ້ວຍ:
  1. ການຈັດອົງກອນການຕະຫຼາດ
  2. ການວາງວິໃສທັດ, ພັນທະກິດ, ວັດຖຸປະສົງ, ເປົ້າໝາຍ ແລະ ກົນລະຍຸດ
  3. ການວິໄຈຕະຫຼາດ ເພື່ອວາງ STP
  4. ການອອກແບບ 4’Ps, 7P’s, 12P’s or 27P’s
  5. ການວິເຄາະ SWOT, 5 Forces, BCG, PLC
  6. ການວາງແຜນການຕະຫຼາດ
  7. ການອອກແບບໂປແກມການຕະຫຼາດ
  8. ການອອກແບບສ່ວນປະສົມການສົ່ງເສີມການຕະຫຼາດ
ສ່ວນປະສົມການສົ່ງເສີມການຕະຫຼາດປະກອບດ້ວຍ:
  1. ການໂຄສະນາ
  2. ການສົ່ງເສີມການຂາຍ
  3. ການໃຊ້ພະນັກງານຂາຍ
  4. ການໃຫ້ຂ່າວ ແລະ ປະຊາສຳພັນ
  5. ການຂາຍທາງກົງ
  6. ການໃຊ້ສື່ Electronics

ສີລະປະການຂາຍ
ມຸ້ງໄປທີ່ ຕົວພະນັກງານຂາຍ ວ່າເຮັດແນວໃດຈຶ່ງຈະສາມາດຂາຍສິນຄ້າ ຫຼື 

ບໍລິການໃຫ້ແກ່ລູກຄ້າໄດ້ຢ່າງມີປະສິດທິພາບ
 
S: Sincerity  ມີຄວາມຈິງໃຈ
 A: Ask Questions  ຮູ້ຈັກຕັ້ງຄຳຖາມ
L  : Listening  ຕັ້ງໃຈຟັງ
 E : Enthusiasm  ກະຕືລືລົ້ນ
  S: Smiling Face  ຍິ້ມແຍ້ມແຈ່ມໃສ
  M: Managed Time  ຮູ້ຈັກບໍລິຫານເວລາ
  A: Attitude  ມີທັດສະນະຄະຕິທີ່ດີ
  N: Names  ຈົດຈໍາຊື່ ຫຼື ເລື້ອງຕ່າງໆໄດ້
  S: Showmanship  ມີສີລະປະໃນການສາທິດ
  H: Helpfulness  ເຕັມໃຈຊ່ວຍເຫຼືອ
  I: Imagination  ມີວິທີໃໝ່ໆໃນການເຂົ້າພົບ
  P: Planning For The Sales    ມີແຜນການຂາຍທີ່ດີ
ຄວາມສຳຄັນຂອງໜ່ວຍງານຂາຍ
ເປັນຜູ້ຮັກສາຍອດຂາຍ
ສ້າງກຳໄລໃຫ້ອົງກອນ
ເຮັດໃຫ້ບໍລິສັດເຕີບໂຕຕໍ່ເນື່ອງ
ເປັນຜູ້ສ້າງພາບລັກ
ເປັນຜູ້ຫຼຸດອຳນາດຂອງຄົນກາງ (Middlemen)
 
ວັດຖຸປະສົງຂອງຝ່າຍຂາຍແມ່ນຫຍັງ?
ໂດຍທົ່ວໄປແມ່ນມີຢູ່ 3 ປະການຄື:
Sales Volume ປະລິມານການຂາຍ
Contribution to Profits ສ້າງຜົນກຳໄລ
Continuing Growth ເຮັດໃຫ້ບໍລິສັດເຕີບໂຕຕໍ່ເນືອ່ງ
New task ໜ້າທີ່ເພີ້ມເຕີມ
Socially Responsible ຮັບຜິດຊອບຕໍ່ສັງຄົມ
ຂໍ້ດີຂອງອາຊີບການຂາຍ
ໄດ້ໃຊ້ຄວາມສາມາດຂອງຕົນຢ່າງເຕັມທີ່
ໃຫ້ຜົນຕອບແທນຕາມຄວາມສາມາດ
ມີໂອກາດກ້າວໄປສູ່ຕຳແໜ່ງສູງສຸດໃນອົງກອນໄດ້ໄວ
ເປັນນາຍຂອງຕົນເອງ ເມື່ອຢູ່ໃນສະໜາມການຂາຍ
ຝຶກຄວາມເປັນຜູ້ນຳໄດ້ດີທີ່ສຸດ
ໄດ້ພົບປະຜູ້ຄົນຕະຫຼອດເວລາ ເຮັດໃຫ້ໂລກກະທັດກ້ວາງໄກ
 
ສາເຫດຄວາມລົ້ມເຫຼວຂອງພະນັກງານຂາຍ
Øຂາດຄວາມຄິດລິເລີ້ມ
Øຂາດການວາງແຜນການຂາຍທີ່ດີ
Øຂາດຄວາມຮູ້ໃນສິນຄ້າ ແລະ ບໍລິການ
Øຂາດຄວາມກະຕືລືລົ້ນ
Øຂາດການຝຶກອົບຮົມທີ່ພຽງພໍ
Øຂາດຄວາມຮູ້ເລື້ອງຕະຫຼາດ
Øຂາດເປົ້າໝາຍໃນຊີວິດ
Øຂາດຄວາມໝັ້ນໃຈໃນຕົວເອງ
Øຂາດການພັດທະນາຄວາມຮູ້ຄວາມສາມາດ
Øຂາດສະມາທິໃນການເຮັດວຽກ
Øຂາດທັດສະນະຄະຕິທີ່ດີຕໍ່ອາຊີບການຂາຍ

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

ระเบียบวิธีการคำนวณสถิติตัวเลขรายได้ประชาชาติและผลผลิต

พื่อให้ทราบว่าตัวรายได้ประชาชาติและผลผลิต คำนวณมาจากอะไร ต้องดูองค์ประกอบอะไรบ้าง
ประโยชน์ของจากการคำนวณรายได้ประชาชาติ
1. รู้ระดับความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสถานะเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงสะท้อนว่าสถานะเศรษฐกิจของประเทศกำลังเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับการทำบัญชีของกิจการต่างๆ เพื่อให้รู้ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสถานะของกิจการ
2. รู้สถานะที่เป็นอยู่ของประเทศว่าเป็นอย่างไร และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นจะอยู่ในสถานะไหนของโลก
• GDP ของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 31 ของโลก
• รายได้ต่อคน ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 105 ของโลก
• เศรษฐกิจอันดับที่ 1 ของโลก คือ อเมริกา, ที่ 2 คือ ญี่ปุ่น, ที่ 3 คือ เยอรมัน, ที่ 4 คือ จีน
มาตรฐาน World Bank (องค์กรเศรษฐกิจโลก) จัดกลุ่มประเทศออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1) High Income Country
2) Upper Middle Income Country
3) Lower Middle Income Country ได้แก่ ประเทศไทย
4) Low Income Country ได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน อูกันดา เอธิโอเปีย โซมาเลีย
3. รู้โครงสร้างสำคัญต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจ และดูว่าโครงสร้างที่เป็นอยู่ดีแล้วหรือยัง ถ้าไม่ดีก็ต้องมีการปรับโครงสร้าง โครงสร้างสำคัญ แบ่งเป็น 3 โครงสร้าง ได้แก่
1) โครงสร้างการผลิต
2) โครงสร้างการใช้จ่าย
3) โครงสร้างรายได้
ราย ได้ประชาชาติ (ประชาชาติ หมายถึง คนทั้งประเทศ) คือ รายได้ของคนทั้งประเทศมารวมกัน รายได้ทางเศรษฐศาสตร์ จะต้องเป็นเงินที่ได้รับมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ความหมายที่ 1 หมายถึง มูลค่าของสินค้าและบริการที่ระบบเศรษฐกิจผลิตขึ้นมาได้ในรอบระยะเวลาหนึ่ง คิดเป็นปี และเป็นไตรมาส
ความหมายที่ 2 หมายถึง ผลรวมของรายได้ที่บุคคลต่างๆ ได้รับในฐานะที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
วิธี การคำนวณสถิติรายได้ประชาชาติ มาจากมาตรฐานสากลขององค์การสหประชาชาติ UNSNA (United Nation System of National Account = ระบบมาตรฐานบัญชีรายได้ขององค์การสหประชาชาติ) สามารถคำนวณสถิติรายได้ประชาชาติ ได้ 3 วิธี คือ
1. โครงสร้างการผลิตของประเทศ (Production Approach)
2. โครงสร้างด้านรายจ่ายของประเทศ (Expenditure Approach)
3. โครงสร้างการกระจายตัวของรายได้ (Income Approach)
เรา สามารถอธิบายถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 3 วิธี ได้ดังนี้ ผลิตปากกาด้ามละ 7 บาท จำนวน 1,000,000 ด้าม มีมูลค่า 7,000,000 บาท (7,000,000 บาท คือ มูลค่าของปากกาที่ผลิตได้ Total Product เรียกว่า Production Approach) ปากกา 1,000,000 ด้ามที่ผลิตได้ จะมีมูลค่า 7 ล้านบาทจริง ก็ต่อเมื่อได้ขายปากกา 1,000,000 ด้ามออกไป ผู้ซื้อต้องจ่ายเงิน 7,000,000 บาท แลกกับปากกา 1,000,000 ด้าม (7,000,000 บาทที่ผู้ซื้อจ่ายเงินเป็นค่าปากกา เรียกว่า Expenditure Approach) และสุดท้าย เงิน 7,000,000 บาทที่ผู้ซื้อจ่ายค่าปากกาก็จะกลายเป็นรายได้ของผู้ผลิต (7,000,000 บาท เรียกว่า Income Approach)
องค์การสหประชาชาติให้ทุกประเทศต้องคำนวณทั้ง 3 วิธี เพื่อ
1. นำตัวเลขที่ได้มาตรวจสอบ Cross Check กันในแต่ละวิธี ว่าตัวเลขเชื่อถือได้หรือไม่ เช่น ผลิตได้ 100 แต่รายได้มี 500 เป็นต้น
2. การคำนวณทั้ง 3 วิธีทำให้รู้โครงสร้างของประเทศทั้ง 3 ด้าน
วิธี Production Approach ทำให้รู้โครงสร้างการผลิต ว่าการผลิตของประเทศอยู่ในภาวะที่เหมาะสมหรือไม่
วิธี Expenditure Approach ทำให้รู้โครงสร้างการใช้จ่าย
วิธี Income Approach ทำให้รู้โครงสร้างรายได้
การคำนวณด้วยวิธี Production Approach
เป็น วิธีที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย (Final Product) ที่ระบบเศรษฐกิจผลิตได้ในแต่ละรอบเวลา ซึ่งวิธีนี้ถือว่าไม่ Practical เพราะในความเป็นจริงเวลามีการซื้อขายสินค้า ไม่มีการระบุว่าสินค้าที่ซื้อไป เพื่อไปเป็น Final Product หรือ Intermediate Product จึงไม่สามารถแยกแยะได้ เมื่อนับรวมทั้งหมด จึงมีโอกาสนับซ้ำหลายๆ ครั้ง ทำให้เกิดตัวเลขที่ over
Final Product (สินค้าขั้นสุดท้าย) คือ สินค้าที่อยู่ในมือของผู้บริโภคคนสุดท้ายแล้ว เพื่อนำไปกินไปใช้
Intermediate Product (สินค้าชั้นกลาง) คือ สินค้าที่อยู่ในมือของผู้ผลิต เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบ
ใน บางครั้งสินค้าอย่างเดียวกันแต่ก็เป็นได้ทั้ง Final Product และ Intermediate Product เช่น ชาวบ้านซื้อข้าวเหนียวไปหุงกินที่บ้าน ข้าวเหนียวถือว่าเป็น Final Product ในขณะที่โรงงานแป้งข้าวเหนียวซื้อข้าวเหนียวไปบดเป็นแป้งขาย ข้าวเหนียวถือว่าเป็น Intermediate Product
ตัวอย่าง เกษตรกรเลี้ยงเป็ดไว้ขาย ขายออกจากเล้าไป 200 บาท คนที่ซื้อก็ซื้อไปขายในราคา 250 บาท คนที่ซื้อก็นำไปเชือดพร้อมถอนขนแล้วขายในราคา 300 บาท คนที่ซื้อนำไปทำเป็ดพะโล้ขายในราคา 400 บาท คนขายข้าวเป็ดพะโล้นำไปสับขายได้ 600 บาท ถ้านับราคารวมทั้งหมด 200+250+300+400+600 ก็จะทำให้ราคาเป็ดสูงเกินไป สรุปว่ามูลค่าของเป็ดนับที่ 600 บาท เนื่องจากเป็นราคาสุดท้าย แต่ในโลกความเป็นจริงเราไม่ทราบว่าสุดท้ายที่ตรงไหน เพื่อไม่ให้เกิดการนับซ้ำๆ จึงให้คำนวณด้วยวิธี Value Added เริ่มต้นจากไม่มีเป็ดจนมีเป็ด 1 ตัว ใช้วิธีบวกเพิ่ม 200+50+50+100+200 = 600 บาท ปัจจุบันทุกประเทศก็ใช้วิธี Value Added ของทุกขั้นตอนเป็นมาตรฐานในการคำนวณ เพื่อป้องกันการนับซ้ำ


(ดูตาราง 80 ในหนังสือหน้า 16 ประกอบ)
ตารางอธิบายถึงบัญชีรายได้ประชาชาติของประเทศไทยที่คำนวณจากวิธี Production Approach คำนวณจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการทุกชนิด
สินค้า และบริการในประเทศไทยแบ่งเป็น 16 กลุ่ม ซึ่งเป็นภาคการเกษตร 2 กลุ่ม และ ไม่ใช่ภาคการเกษตร 14 กลุ่ม (มาตราฐานสากล องค์กรระหว่างประเทศ จำแนกสินค้าและบริการในแต่ละประเทศ ไม่เกิน 17 กลุ่ม แสดงว่ามี 1 กลุ่ม ประเทศไทยไม่ได้นำมาใช้)
หน่วยงานที่รับผิดชอบในการสำรวจตัวเลข คือ สภาพัฒน์ (NESDB) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (National Economic and Social Development Board) www.nesdb.go.th
จาก ตารางจะเห็นได้ว่าในหลายปีที่ผ่านมานี้ มูลค่าของผลผลิตภาคเกษตร คิดเป็น Market Share ใน GDP ประมาณ 10% และสินค้าที่ไม่ใช้ภาคการเกษตร คิดเป็น Market Share ใน GDP ประมาณ 90% แสดงว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเกษตรกรรม เพราะรายได้หลักของประเทศไม่ได้มาจากการเกษตร
ประโยชน์ของการเรียนที่ ว่าทำให้ทราบโครงสร้างการผลิตของประเทศ แบ่งเป็น 16 กลุ่ม ซึ่งเป็นภาคการเกษตร 2 กลุ่ม และ ไม่ใช่ภาคการเกษตร 14 กลุ่ม ปัจจุบันกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือ 6. Manufacturing และ กลุ่มที่เล็กที่สุดคือ 18. Private Households with employed persons ซึ่งเป็นการคิดมูลค่าจากการทำงานบ้านด้วยตนเองโดยไม่ได้จ้างคนงาน
จาก ตาราง ถ้าคิดว่าเป็นโครงสร้างที่แข็งแรง ประชากรในประเทศมีความสุขมาก ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าคิดว่าโครงสร้างนี้เป็นโครงสร้างที่ไม่แข็งแรง ก็ต้องมีการปรับโครงสร้างเพิ่ม-ลด ปัญหาที่พบคือ การไม่รู้ว่าโครงสร้างเป็นอย่างไร วิธีการคือ ดูจาก 1.ประเทศไทยมีประชากรกี่คน 2.ประชากรที่อยู่ในภาคการเกษตรกี่คนและไม่ใช่ภาคการเกษตรกี่คน ปัจจุบันมีคนที่อยู่ในภาคที่ไม่ใช่การเกษตรมากกว่าภาคการเกษตรเพียงเล็กน้อย อัตราส่วนประมาณ 52 : 48 แต่คนที่อยู่ภาคการเกษตรมีรายได้เพียง 10% และคนที่อยู่ภาคที่ไม่ใช่การเกษตรมีรายได้ 90% แสดงว่า เกษตรกรจนกว่าคนที่ไม่ได้เป็นเกษตรกร เราจะปรับโครงสร้างของประเทศอย่างไรให้ประชากรทุกคนอยู่ดีมีสุข
สาเหตุที่ Net Factor Income From Abroad ในหลายปีที่ผ่านมาติดลบ เนื่องจาก
1. คนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น แล้วได้ส่วนเกินที่เป็นกำไรจากการลงทุน เล่นหุ้น กลับไปประเทศตัวเองมาก
2. พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไป ไม่ทำงานในหลายด้าน จนต้องมีการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ
GDP โตขึ้น ขยายตัว แสดงว่าประเทศผลิตสินค้าได้มากขึ้น ถ้า GDP น้อยลง แสดงว่าประเทศผลิตสินค้าได้น้อยลง ทฤษฎีที่เรียนอยู่ เรียกว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม หรือ ทฤษฏีกระแสหลัก วัดความสุขของประชากรจากปริมาณโภคทรัพย์ที่ได้กินได้ใช้ มีของให้กินให้ใช้มากก็สุขมาก



การคำนวณด้วยวิธี Expenditure Approach
วิธี Expenditure Approach เป็นการคำนวณรายได้ประชาชาติจากด้านรายจ่าย
วิธี Production Approach เป็นการคำนวณรายได้ประชาชาติจากจาก Value Added ของ 16 อุตสาหกรรมมารวมกัน


Ca เรียกว่า C subscript a หมายถึง ค่าของ C, I, G, X, M เป็น Actual Value
Actual value หมายถึง ค่าของตัวเลขจริงๆ ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้ว เช่น ค่า GDP ของไตรมาสที่ผ่านมา ถ้าเก็บมาผิดก็ต้องกลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง
Desired value, Intended value, Planed value หมายถึง ค่าของตัวเลขที่คาดว่าจะเกิด อยากจะให้เกิด อยากจะให้เป็น
C = Private Consumption Expenditure
รายจ่ายในการอุปโภค(ใช้) และบริโภค(กิน) ของประชากรทั้งประเทศ
I = Gross Private Investment Expenditure
ราย จ่ายเบื้องต้นในการลงทุนของภาคเอกชน (ยังไม่ได้หักโรงงานที่ไฟไหม้, สิบล้อที่เสีย, ค่าเสื่อมราคา ถ้าหักแล้ว จะเรียกว่า Net Private Investment Expenditure)
การลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง 3 เรื่อง
1. ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปในการก่อสร้างอาคารใหม่ (Construction)
2. ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปในการประกอบเครื่องจักรใหม่ ซื้อเครื่องจักรใหม่ (Machine)
3. ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปในการผลิตสินค้าคงคลัง สินค้าที่ผลิตขึ้นมาแล้วเก็บไว้ในสต๊อคสินค้า ยังไม่ได้จำหน่าย (Inventory)
G = General Government Expenditure on Consumption and Investment
ราย จ่ายของภาครัฐบาลทั้งจ่ายสิ้นเปลือง (เงินเดือนข้าราชการ ซื้อกระดาษ หมึก) และ การลงทุน (สร้างถนน ท่าเรือ ซื้อเครื่องจักร สร้างโรงงาน)
X = Export of Goods and Services
มูลค่าของสินค้าและบริการที่ส่งออก
M = Import of Goods and Services
มูลค่าของสินค้าและบริการที่นำเข้า
ถ้านำ X – M = Net Export
วิธีที่ 1 และ 2 ตามหลักการควรจะเท่ากัน แต่ในความเป็นจริงมีผิดพลาดได้นิดหน่อย



(ดูตาราง 81 ในหนังสือหน้า 22 ประกอบ)
Ca = Consumption expenditure - Private (ข้อ2) 3,687.6
Ia = Gross fixed capital formation - Private sector (ข้อ5) 1,253.0
บวก Change in inventories (ข้อ11) 75.0 1,328.0
Ga = Consumption expenditure - Government (ข้อ3) 721.3
บวก Gross fixed capital formation - Public sector (ข้อ8) 433.8 1,155.1
Xa = Exports of goods and services (ข้อ13) 4,587.9
Ma = Imports of goods and services (ข้อ15) (4,281.9)
Expenditure on gross domestic product (GDP ก่อนปรับด้วยค่าผิดพลาดคาดเคลื่อน) 6,476.7
จากตารางนี้จะเห็นได้ว่า Ca = 3,687 Ia = 1,328 Ga = 1,155 Xa = 4,587 Ma = 4,281
X เป็น 70% ใน GDP และ M เป็น 66% ใน GDP
แสดงว่า GDP ของประเทศไทยจะเติบโตมากน้อยเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับตัว X การส่งออก และ M การนำเข้า ซึ่งมีน้ำหนักมากที่สุด ตามด้วย C , I , G ตามลำดับ I และ G มีน้ำหนักน้อยมาก
ลักษณะโครงสร้างแบบนี้ในภาษาวิชาการเรียกว่า “โครงสร้างเศรษฐกิจแบบเปิด” (Open Economic) เป็นลักษณะเศรษฐกิจที่มีโครงสร้างภาคต่างประเทศใหญ่ Dominate GDP หรือเรียกอีกอย่างว่า “เศรษฐกิจแบบพึ่งพาตลาดโลก” คือ ถ้าค่า X มากกว่าค่า M จะเกินดุล ทำให้ GDP เพิ่มขึ้น แต่ถ้าค่า X น้อยกว่าค่า M จะขาดดุล ทำให้ GDP ลดลง
ถาม โครงสร้างแบบนี้ดีหรือไม่
ตอบ โครงสร้างแบบนี้เป็นโครงสร้างแบบดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะเอาขาผูกกับตลาดโลก
ถ้าเศรษฐกิจของอเมริกา,ญี่ปุ่นดี การส่งออกของไทยก็ดีด้วย แต่ถ้าเศรษฐกิจของอเมริกา,ญี่ปุ่นแย่ ก็แย่ด้วย
ถ้าต้องการเปลี่ยนให้เป็นโครงสร้างแบบพึ่งพาตัวเองได้ (พึ่งพิงใน Domestic) ต้องปรับโครงสร้างใหม่
โดย เพิ่ม C และ I ให้มากขึ้น ถ้าเพิ่ม C ต้องทำให้ประชากรมีเงิน มีรายได้เพิ่มขึ้น ต้องให้ประชากรมีรายได้อย่างยั่งยืน เมื่อประชากรมีเงิน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อน มีความต้องการซื้อ (Demand) I ก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ โดยขยายการผลิต การลงทุน การจ้างงาน ต้องทำให้ C เพิ่ม แล้ว I จะเพิ่มขึ้นเอง
ถ้า เพิ่ม G ให้โตขึ้น ต่อไปรัฐบาลก็จะมีภาระมากขึ้น และต้องมาจัดเก็บภาษีมากขึ้น ประชากรก็เดือดร้อน จึงไม่เพิ่มตัวนี้
จากสมการ GDP = Ca+ Ia+ Ga+ Xa - Ma
จะเห็นได้ว่าในองค์ประกอบ 5 ตัว คือ C, I, G, X, M
C, I, G, X มีสัมประสิทธิ์เป็นบวกทั้งหมด ส่วน M มีสัมประสิทธิ์เป็นลบ
นั่นหมายถึง ถ้า C, I, G, X มากขึ้น จะทำให้ GDP มีค่ามากขึ้น และ ถ้า M มากขึ้น จะทำให้ GDP ลดลง
เพราะ M เป็นตัวลบ (M คือ การนำเข้า ถ้าสั่งซื้อมาก ก็ทำให้เงินไปเข้าประเทศอื่นมากขึ้น)
การคำนวณด้วยวิธี Income Approach
วิธี Income Approach เป็นการคำนวณรายได้ประชาชาติจากด้านรายได้
วิธี Expenditure Approach เป็นการคำนวณรายได้ประชาชาติจากด้านรายจ่าย
วิธี Production Approach เป็นการคำนวณรายได้ประชาชาติจาก Value Added ของ 16 อุตสาหกรรมมารวมกัน
รายได้มาจากปัจจัยการผลิต ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน ผู้ประกอบการ
ผลตอบแทนของปัจจัยการผลิต ได้แก่ ค่าเช่า มาจาก ที่ดิน
ค่าจ้าง มาจาก แรงงาน
ดอกเบี้ยและกำไร มาจาก ทุน









Disposable Personal Income หรือ Disposable Income คือ การคำนวณหารายได้สุทธิส่วนบุคคล โดยนำ GNP + เงินโอนของรัฐบาล+ดอกเบี้ยที่จ่ายโดยรัฐบาล - ภาษี
ตัวเลขรายได้ประชาชาติทั้งหลายมีวิธีคำนวณมาจาก 2 ฐานราคา
1. คำนวณตามราคาประจำปี Current Market Price หรือเรียกอีกอย่างว่า Nominal ราคาที่คำนวณตามราคาตลาด
2. คำนวณจากราคาปีฐาน หรือเรียกอีกอย่างว่า Real เนื่องมาจากมูลค่า GDP อาจเพิ่มหรือลด เพราะมูลค่าสินค้าเปลี่ยน ซึ่งจะทำให้เกิด Money illusion ภาพลวงตาทางการเงิน
ตัวอย่าง ในปี 2507 ประเทศหนึ่งเลี้ยงเป็ด 100 ตัว ตัวละ 100 บาท GDP=10,000 บาท ต่อมาในปี 2548 เกิดภาวะเงินเฟ้อ เป็ดตัวละ 200 บาท แต่ประเทศนี้เลี้ยงเป็ดได้เพียง 70 ตัว GDP=200x70=14,000 บาท จะเห็นได้ว่า GDP โตขึ้นจาก 10,000 เป็น 14,000 บาท เพราะภาวะเงินเฟ้อ เป็ดแพงขึ้น เกิด Money illusion ประชากรมีกินน้อยลง ผลิตได้น้อยลง เพราะฉะนั้นจึงต้องเปรียบเทียบบนฐานราคาเดียวกันเพื่อให้เห็นความจริง ขจัดภาพลวงตาทางการเงิน Money illusion
สาเหตุสำคัญที่ทำให้รายได้ประชาชาติแท้จริง (Real GDP) เพิ่มขึ้น
Real GDP เพิ่มขึ้น หมายความว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มาจากราคา แต่มาจากสินค้าบริการที่เพิ่มมากขึ้น
1. การที่ประเทศจะมีผลผลิต (Out Put) มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยการผลิต (In Put) ซึ่งได้แก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน ผู้ประกอบการ แต่เฉพาะที่ดิน แรงงาน ทุน ที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้
สรุปคือ การที่จะผลิตได้มาก ต้องมีปัจจัยการผลิตมาก
2. ไม่ต้องเพิ่ม In Put แต่ทำ In Put ให้เก่งกว่าเดิม เน้นที่ การเพิ่ม Productivity ของ In Put
In Put ตัวสำคัญที่จะ Productive คือ ที่ดิน แรงงาน ทุน
ตัวอย่าง ที่ดิน 1 ไร่ เดิมปลูกข้าวได้ 100 ถัง ก็ทำให้ปลูกข้าวได้ 200 300 ถัง
การ ฝึกอบรมให้คนงาน เพื่อให้คนงานมีทักษะ ความรู้ ความสามารถในการผลิตจนสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น ถือเป็นการเพิ่ม Productivity ให้แรงงาน
เราสามารถเพิ่ม Productivity ได้ โดย
• การแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) เกิด Specialization ทำให้เกิด Productivity สูงขึ้น โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิม Out Put มากขึ้น
• ตัวการที่ทำให้ Productivity สูงขึ้นเรื่อยๆ คือ เทคโนโลยี
การกู้ยืมทรัพยากร ก็ทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นแบบไม่ยั่งยืน
กิจกรรมที่ไม่นับรวมในรายได้ประชาชาติ
1. กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ผลประโยชน์ที่ได้ไม่เข้าส่วนกลาง เช่น การพนัน โสเภณี และการค้ายาเสพติด
2. กิจกรรมที่ไม่ได้บันทึก ผลผลิตถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่มีการบันทึก เพื่อเลี่ยงภาษี
3. กิจกรรมนอกตลาด เช่น การปลูกผัก เลี้ยงไก่ไว้กินเอง การทำงานบ้านเพื่อตนเอง งานอาสาสมัครต่างๆ
4. ผลเสียที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ จากแนวคิดที่ว่า ทุกครั้งที่มีการผลิตสินค้า ก่อให้เกิดผลเสียตามมาด้วย เช่น มลภาวะเป็นพิษ

by http://mbaru.blogspot.com

ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risks)

ตลาดการเงินในปัจจุบันการลงทุนสำหรับนักลงทุนในบ้านเราคงไม่อาจที่จะปฏิเสธ การเข้าไปจัดการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนที่มีมากมายและถาโถมเข้ามาเช่น เดียวกับการขยายตัวของโลกกาภิวัฒน์ของระบบทุนนิยม นักลงทุนสามารถติดต่อกับนักลงทุนอื่น ๆ ทั่วโลกได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้การกระทำของคน ๆ เดียว หรือ กลุ่ม ๆ เดียวจึงไม่อาจสามารถทำให้เป็นเรื่องเฉพาะของเขาเหล่านั้นได้อีกต่อไป อาทิ การไหลเข้าออกของเงินทุนของกลุ่มทุน การลงทุนซึ้อหุ้นหรือพันธบัตร การดำเนินนโยบายทางการเงินการคลังของรัฐบาลทั้งในและเทศ การกระทำของนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนคนอื่น ๆ หรือการกระทำธุรกรรมของเราเองที่ไม่อาจทราบผลที่แน่นอน สิ่งที่ไหลเข้ามานอกจากโอกาสทางการเงินที่เปิดกว้างแล้วยังรวมไปถึงการขยาย ตัวของโอกาสในการรับรู้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอีกด้วย (Risk and Uncertainty) ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจนถึงมหาศาลของผล ตอบแทนที่ได้รับจริงต่อผลตอบแทนที่เราคาดหวังก่อนการลงทุน เช่น ท่านรู้ได้อย่างไรว่าในปีหน้าหุ้นที่ท่านซื้อไว้ราคาจะเป็นเท่าที่นัก วิเคราะห์หลายท่านบอกเอาไว้ ในขณะที่ราคาน้ำมันยังคงผันผวน การก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลที่อาจส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาว รวมไปถึงเสถียรภาพทางการเมืองยังคงต้องใช้เวลาในการปรับตัว ยังคงเป็นตัวแปรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ นักลงทุนหลายท่านจึงมีเป้าหมายในการพยายามปรับตัวเพื่อให้สามารถจัดการ บริหารกับความเสี่ยงให้ดีขึ้น ดังนั้นก้าวแรกที่สำคัญคือ การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเสี่ยงและความไม่แน่นอน และประเภทของความเสี่ยงทางการเงินก่อน

ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนแตกต่างกันอย่างไร ?

ในปี 1921 นักเศรษฐศาสตร์ Frank H Knight ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างความเสี่ยงและความไม่แน่นอนไว้

“Uncertainty must be taken in a sense radically distinct from the familiar notion of Risk, from which it has never been properlyseparated … The essential fact is that “risk” means in some cases a quantity susceptible of measurement, while at other times it is something distinctly not of this character; and there are far-reaching and crucial differences in the bearings of the phenomenon depending on which of the two is really present and operating. … It will appear that a measurable uncertainty, or “risk” proper, as we shall use the term, is so far different from an unmeasurable one that it is not in effect an uncertainty at all. We … accordingly restrict the term “uncertainty” to cases of the non-quantitive type.”

สามารถอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ด้วยการยกตัวอย่าง การชกมวย ซึ่งนักมวยทั้งสองฝ่ายจะได้รับทราบถึงกฎกติกาอย่างละเอียดก่อนการชก ดังนั้นสิ่งที่จะทำคือ กำหนดกลยุทธ์ในการชกเพื่อเอาชนะอีกฝั่งให้ได้ เช่น ถ้าเราเดินแบบนี้แล้วเขาจะเดินแบบไหน เป็นต้น หากอีกฝั่งสามารถกำหนดกลวิธีที่เหนือกว่าเพราะเป็นนักมวยที่เก่งกว่า แล้วสามารถชกเอาชนะไปได้เราเรียกกรณีเช่นนี้ว่า ความเสี่ยง เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการลงทุนในปัจจุบัน

หากเราเปลี่ยนใหม่ โดยที่ไม่บอกว่ากฎกติกาการชกจะเป็นแบบอย่างไรให้ทั่งสองฝ่ายทราบ และจะลงโทษผู้ที่ทำผิดกติกาแบบสุ่มด้วย ท่านลองคิดดูว่าผลจะเป็นอย่างไร สิ่งนี้เราเรียกว่า ความไม่แน่นอน

ดังนั้น ความแตกต่างของความเสี่ยงและความไม่แน่นอนคือ การวัดได้ (Measurable) ความเสี่ยงนั้นวัดได้แต่ความไม่แน่นอนนั้นวัดไม่ได้

ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risk)

ความเสี่ยงทางการเงินแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ

1. ความเสี่ยงตลาด (Market Risk) เป็นความเสี่ยงของการที่จะเสีย โดยราคาหรือการเปลี่ยนแปลงของราคา ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกหรืออื่น ๆ การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การดำเนินนโยบายใช้จ่ายของรัฐบาล การผันผวนของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคภายในและนอกประเทศ ซึ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานการลงทุนในตลาด การเงิน ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการลงทุน อาทิ การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและการก่อหนี้ของภาครัฐ ส่งผลให้ความเสี่ยงการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนคาดการณ์ในระยะยาวจึงมีแนวโน้มสูงขึ้น อาจส่งผลให้ราคาของหุ้นหรือค่าเงินในปัจจุบันกับอนาคตมีความแตกต่างกันมาก
2. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เป็นความเสี่ยงที่จะสูญเสีย อันเนื่องมาจากการไม่กระทำตามสัญญาของคู่สัญญาอีกฝั่ง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งการเต็มใจและไม่เต็มใจที่จะไม่ทำ เช่น การผิดนัดชำระหนี้ การผิดนัดการแลกเปลี่ยนสินค้า การได้ผลตอบแทนไม่ครบตามที่สัญญาไว้ในหุ้นกู้ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถลดความเสี่ยงในด้านนี้ได้โดยการลงทุนผ่านตลาดที่มีตัวกลาง เช่น ตลาดหุ้น หรือ ฟิวเจอร์ เป็นต้น ซึ่งในเมืองไทยยังต้องการการพัฒนาตลาดที่เป็นทางเลือกอื่น ๆ ในการลงทุนอีกมาก
3. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ (Operational Risk) เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา อันเนื่องมาจากการปฏิบัติการที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมที่มาจากคทั้งคนหรือ องกรค์ หรือจากเหตุการณ์ภายนอก เช่น การทำสัญญาทางการเงินที่ผิดพลาด การทำผิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจของบริษัทที่เราซื้อหุ้น การไม่ทำตามนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมที่เรามีหน่วยลงทุนอยู่ เป็นต้น การติดตามและเฝ้าระวังนโยบายของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมได้ยิ่งขึ้น

นโยบายเงินปันผล (Dividend Policy)

นโยบายเงินปันผล (Dividend Policy)

หุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นสามัญจะมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ จึงมีสิทธิได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล (Dividend) เมื่อมีการประกาศจ่าย และได้รับส่วนเกินจากราคาซื้อขาย (Capital Gain) เมื่อขายหุ้นออกไป

ผู้ลงทุนในหุ้นสามัญส่วนใหญ่ลงทุนเพราะมุ่งหวังจะได้รับผลกำไรของกิจการ ซึ่งจะได้รับจากการจ่ายเงินปันผล เมื่อมีการประกาศจ่ายเงินปันผลไปแล้ว กิจการจะต้องจ่ายเงินปันผล ตามที่ประกาศไว้ในรูปของเงินสดปันผล หรือหุ้นปันผลก็ได้

นโยบายการจ่ายเงินปันผล แบ่งได้ 3 ประเภท

1. จำนวนเงินปันผลต่อหุ้นคงที่ (Stable Amount Pershare) : กิจการจะจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นเป็นจำนวนเงินแน่นอน เช่น จ่ายปันผลหุ้นละ 2 บาท หรือ 3 บาท เป็นต้น กิจการที่จ่ายปันผลเช่นนี้ได้จะต้องมีผลกำไรที่คอ่นข้างแน่นอน และมีฐานะการเงินมั่นคง
2. อัตราการจ่ายเงินปันผลคงที่ (Constant Layout Ratio) : กิจการจะกำหนดจำนวนเงินปันผลเป็นอัตราส่วนกับกำไรที่กิจการได้รับในปีนั้น ๆ เช่น กำหนดจ่ายปันผล 50% ของกำไรสุทธิ ถ้าบริษัทมีหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายทั้งหมด 200,000 หุ้นปี 2544 บริษัทมีกำไรสุทธิ 200,000 บาท กำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 1 บาท ต้องจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.50 บาทปี 2545 บริษัทมีกำไรสุทธิ 400,000 บาท กำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 2 บาท ต้องจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 1.00 บาทดังนั้น วิธีนี้จำนวนเงินปันผลจึงไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงไปตามกำไรสุทธิของกิจการ ถ้ากิจการมีกำไรมากก็จ่ายปันผลมาก ถ้ากิจการมีกำไรน้อยก็จ่ายปันผลน้อย
3. จำนวนเงินปันผลปกติขั้นต่ำบวกเงินปันผลพิเศษ (Low Regular and Extra Dividend) :กิจการจะจ่ายเงินปันผลจำนวนหนึ่งที่แน่นอน และหากปีใดกิจการมีกำไรเกินกว่าปกติ กิจการก็จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มพิเศษให้อีกจำนวนหนึ่ง เช่น กำหนดว่าทุกปีจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยหุ้นละ 10 บาท แต่หากปีใดมีกำไรมากก็จะจ่ายเพิ่มพิเศษให้ปี 2540 บริษัทมีกำไรสุทธิ 300,000 บาท จ่ายปันผลหุ้นละ 10 บาทปี2541 บริษัทมีกำไรสุทธิ 400,000 บาท จ่ายปันผลหุ้นละ 15 บาท (10 + 5) ปี 2542 บริษัทมีกำไรสุทธิ 500,000 บาท จ่ายปันผลหุ้นละ 18 บาท (10 + 8 )

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายเงินปันผล

1. ข้อกำหนดตามกฎหมาย ซึ่งกำหนดไว้ว่า บริษัทจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรในปีปัจจุบันหรือในอดีตก็ได้ (กำไรสะสม) โดยการจ่ายปันผลทุกครั้งจะต้องมีการจัดสรรกำไรส่วนหนึ่ง ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ร้อยละ 5 ของกำไร ไว้เป็นทุนสำรองตามกฎหมายด้วย
2.สภาพคล่อง เป็นปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจ่ายปันผล ถ้าหากฐานะเงินสดของธุรกิจและสภาพคล่องของธุรกิจดีก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้ หากธุรกิจกำลังขยายกิจการ อาจจะไม่มีสภาพคล่อง เนื่องจากต้องนำเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวรต่าง ๆ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจจ่ายปันผล
3. ความสามารถในการกู้ยืม ถ้าธุรกิจมีความสามารถในการกู้ยืมสูง ทำให้ธุรกิจไม่จำเป็นจะต้องเก็บรักษาเงินสดไว้มาก ดังนั้นธุรกิจมีสามารถในการจ่ายปันผลได้สูง
4. เสถียรภาพของกำไร ถ้าหากกำไรที่ธุรกิจทำได้สม่ำเสมอ ก็สามารถที่จะพยากรณ์ได้ล่วงหน้าถึงกำไรที่จะได้ พร้อมทั้งสามารถที่จะจ่ายปันผลในอัตราส่วนที่มากและสูงกว่าธุรกิจที่มีกำไร ไม่แน่นอน
5. ความจำเป็นในการชำระหนี้ ถ้าธุรกิจเลือกนำเงินไปชำระหนี้ก็ต้องมีการกันเงินจากกำไรไว้ เพื่อนำไปชำระหนี้ ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ หรือจ่ายได้ก็เป็นจำนวนน้อย
6. ข้อจำกัดในสัญญาเงินกู้ ซึ่งมักจะมีข้อความดังนี้
- การจ่ายปันผลจะทำได้เฉพาะจากกำไรที่เกิดขึ้นหลังวันลงนามในสัญญาจะไปเอากำไรสะสมปีก่อนมาจ่ายปันผลไม่ได้
- บริษัทจะไม่จ่ายปันผล ถ้าหากเงินทุนหมุนเวียนสุทธิต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้
- การออกหุ้นกู้หรือการกู้เงินมา อาจมีข้อตกลงในการจำกัดจำนวนการจ่ายเงินปันผลการจำกัดจำนวนเงินปันผลจ่ายนี้ ก็เพื่อจะเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้คืน
7. การควบคุม ในบางครั้งธุรกิจจะกำหนดนโยบายเพื่อที่จะขยายกิจการเท่ากับจำนวนเงิน กำไรที่กันไว้ในรูปกำไรสะสมเท่านั้น เพราะการเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นสามัญจะทำให้อำนาจการควบคุมและส่วนได้เสียใน บริษัทของผู้ถือหุ้นเดิมเปลี่ยนแปลงไป หรือการก่อหนี้อาจทำให้มีความเสี่ยงทางการเงินสูงขึ้น
8. ฐานะทางภาษีของผู้ถือหุ้น เงินปันผลที่ได้รับถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี ถ้าผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทจะต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่สูงก็ย่อมพอ ใจที่จะให้คงกำไรไว้ในรูปกำไรสะสม ซึ่งมีผลทำให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญนั้นสูงขึ้น ผู้ถือหุ้นจะได้รับกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain) ซึ่งทำให้พอใจมากกว่ารับรายได้ในรูปของเงินปันผล เพราะอัตราภาษีที่เก็บจากเงินปันผลจะสูงกว่าอัตราภาษีที่เก็บจากกำไรจากการ ขายหุ้น
9. ภาวะเงินเฟ้อ โดยทั่วไปผู้ถือหุ้นต้องการรับเงินปันผลในปัจจุบันมากกว่าที่จะรอรับในอนาคต เพราะเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น จะทำให้ค่าของเงินลดลงตามกาลเวลา
10. อัตราการขยายตัวของสินทรัพย์ หากกิจการมีการขยายตัวสูง ต้องใช้เงินทุนมากกิจการจะต้องกันเงินกำไรไว้ในรูปของกำไรสะสมจำนวนมาก ทำให้จ่ายเงินปันผลได้น้อยลง

ประเภทของการจ่ายปันผล

1. เงินสดปันผล (Cash Dividend) : เงินสดปันผลจะจ่ายจากกำไรสะสม การที่จะจ่ายได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินสดที่กิจการถืออยู่ว่ามีเพียง พอหรือไม่ การจ่ายเงินสดปันผลจะทำให้ในงบดุลมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสินทรัพย์ (เงินสดลดลงตามจำนวนปันผลที่จ่าย) และด้านหนี้สินและทุนก็ลดลงเช่นกัน (กำไรสะสมลดลงตามจำนวนปันผลที่จ่าย)
2. หุ้นปันผล (Stock Dividend) : เป็นการจ่ายปันผลในรูปของหุ้นสามัญออกใหม่ ซึ่งเรียกว่า หุ้นปันผล ซึ่งจะกำหนดจำนวนหุ้นที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ เช่น การจ่ายหุ้นปันผลร้อยละ 10 หมายความว่า ผู้ถือหุ้นอยู่ 100 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 10 หุ้น นั่นคือ กิจการจะต้องจดทะเบียนเพิ่มทุน โดยมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 การจ่ายหุ้นปันผลไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่วนเจ้าของในงบดุล แต่จำนวนกำไรสะสมจะลดลง ในขณะที่มูลค่าหุ้นสามัญจะเพิ่มขึ้นในจำนวนที่เท่ากัน

ข้อดีของการจ่ายหุ้นปันผล
- ช่วยประหยัดเงินสดให้ธุรกิจ เพื่อใช้ในโครงการลงทุนอื่นในอนาคต โดยไม่ต้องจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก
- ทำให้ผู้ถือหุ้นที่มีรายได้สูงเกิดความพอใจ เพราะถ้าผู้ถือหุ้นมีรายได้สูงจะเสียภาษีสูงด้วย
- ช่วยบริษัทที่ประสบปัญหาทางการเงิน
- ทำให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญไม่สูงเกินไป

ข้อเสียของการจ่ายหุ้นปันผล
- ค่าใช้จ่ายในการจ่ายหุ้นปันผลค่อนข้างสูง
- ทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง
- ราคาตลาดของหุ้นลดลง

3. การแยกหุ้น (Stock Splits) : การจ่ายปันผลวิธีนี้ จะทำให้จำนวนหุ้นสามัญที่ผู้ลงทุนถือหุ้นอยู่มีจำนวนมากขึ้น เช่น แยกหุ้นจาก 1 เป็น 10 หมายความว่า ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับหุ้นเพิ่มขึ้น 9 หุ้น ต่อหุ้นที่ถืออยู่ 1 หุ้น โดยมูลค่าที่ตราไว้จะลดลงเหลือ 1/10 ด้วย คือหากมูลค่าเดิมที่ตราไว้ 100 บาทต่อหุ้น เมื่อแยกหุ้นแล้วจะเท่ากับ 10 บาทต่อหุ้น การแยกหุ้นไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่วนของเจ้าของในงบดุล จำนวนกำไรสะสมและมูลค่าหุ้นสามัญรวมยังคงเดิม เพียงแต่จำนวนหุ้นจะมากขึ้นและมีราคามูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้นลดลงวิธีการแยก หุ้นนี้ จะสร้างความพอใจแก่ผู้ถือหุ้น เพราะเมื่อบริษัทมีกำไรมาก การจ่ายปันผลสูง และมีความเจริญเติบโตในอัตราที่ดีแล้ว ทำให้ราคาตลาดของหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก
4. การซื้อหุ้นกลับคืน (Stock Pepurchase) : การที่ธุรกิจนำเงินกำไรส่วนที่เก็บไว้ในรูปกำไรสะสมหรือเงินที่ได้จากการก่อ หนี้ไปซื้อหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายแล้ว ทำให้หุ้นสามัญมีจำนวนน้อยลง ถ้าปัจจัยอื่นคงที่และสมมติว่าการซื้อหุ้นคืนไม่กระทบต่อความสามารถทำกำไร ของธุรกิจ จะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น เมื่อกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญสูงขึ้น ถ้าธุรกิจนำเงินที่เก็บไว้ในรูปกำไรสะสมไปซื้อหุ้นกลับคืน ทำให้การจ่ายเงินปันผลลดน้อยลง แต่ถ้านักลงทุนขายหุ้นจะได้รับกำไรจากการขายหุ้นเนื่องจากราคาตลาดสูงขึ้น กำไรจาการขายหุ้นชดเชยได้พอดีกับเงินปันผลจ่ายที่น้อยลงการซื้อหุ้นกลับคืน จะกระทำเมื่อกิจการมีเงินทุนเหลือใช้เป็นการถาวร หรือต้องการลดจำนวนหุ้นสามัญที่หมุนเวียนในตลาดลง เพื่อทำให้ราคาตลาดหุ้นสามัญสูงอีก หรือเพิ่มอำนาจการควบคุมกิจการ เพื่อป้องกันมิให้ผู้ถือหุ้นขายหุ้นให้กับบริษัทอื่น กิจการสามารถซื้อหุ้นกลับคืนมาได้ หุ้นที่ซื้อคืนนี้ เรียกว่า Treasury Stock
5. การรวมหุ้น (Reverse Split) : บริษัทสามารถทำการลดจำนวนหุ้นสามัญลงและเพิ่มมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้นได้ การลดจำนวนหุ้นลงนี้ทำได้โดยการรวมหุ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่ราคาตลาดของหุ้นต่ำมาก ธุรกิจก็จะทำการรวมหุ้นเพื่อให้จำนวนหุ้นในมือของผู้ถือหุ้นลดจำนวนลง ราคาตามมูลค่าของหุ้นจะเพิ่มขึ้น อันมีผลทำให้ราคาตลาดของหุ้นสูงขึ้น

ตลาดทุน (Capital Market)

ตลาดทุน (Capital Market)

- แหล่งเงินทุน ที่กิจการสามารถเข้าไประดมเงินทุนจากผู้ลงทุนทั่วไป เพื่อนำไปใช้ในกิจการนอกเหนือไปจาก การกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์
- วิธีการระดมทุน ได้แก่ การออกตราสารเพื่อการลงทุนประเภทต่าง ๆ และเสนอขายตราสารนั้นให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทั่วไป ทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง
- การเสนอขายประชาชนทั่วไป ต้องเป็นไปตามขบวนการที่กฎหมายกำหนด

ตลาดแรก และ ตลาดรอง

ตลาดแรก (Primary Market) คือ แหล่งเงินทุนอันดับแรก ที่กิจการสามารถระดมทุนได้ จากบรรดาผู้ถือหุ้นของกิจการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นเดิมหรือผู้ถือหุ้นใหม่หลังการทำ Public Offering ก่อนที่จะนำหุ้นนั้น เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง
ตลาดรอง (Secondary Market) คือ แหล่งเงินทุนอันดับรอง ที่กิจการสามารถระดมทุนได้จากผู้ลงทุนทั่วไป หลังจากกิจการนั้น นำตราสารของตนเข้าทะเบียนซื้อขาย เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนมือ เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน

ประเภทของตลาดรองที่สำคัญ

ตลาดตราสารทุน (Stock Market หรือ Equity Market) คือ ตลาดตราสารทุนทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางซื้อขายตราสารทุน เช่น หุ้น หุ้นบุริมสิทธ์ หน่วยลงทุนตราสารทุน
ตลาดตราสารหนี้ (Bond Market หรือ Debt Market) ทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางซื้อขายตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล/รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้ และตราสารทางการเงินประเภทต่าง ๆ

ลักษณะของตลาดทุน

ตลาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Market) คือ ตลาดที่หลักทรัพย์มีราคายุติธรรม เพราะข้อมูลข่าวสารการลงทุนชัดเจน และแพร่กระจายไปยังผู้ลงทุนอย่างรวดเร็วและทั่วถึงกัน จนไม่เกิดมี overpriced หรือ underpriced
ตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ (Inefficient Market) คือ ตลาดที่ข้อมูลข่าวสารการลงทุน แพร่กระจายไม่ทั่วถึงกัน ราคาหลักทรัพย์จึงเป็นได้ทั้ง overpriced หรือ underpriced

การลงทุน และ ความสัมพันธ์ของ ผลตอบแทน (Return) และความเสี่ยง (Risk)

- การลงทุน ที่ความเสี่ยงสูงย่อมให้ อัตราผลตอบแทนสูงในระยะยาว
- การลงทุน ที่มีความเสี่ยงต่ำย่อมให้ อัตราผลตอบแทนต่ำในระยะยาว
- ผลตอบแทนในการลงทุน
Total Return = Interest Received + Dividend Received + Capital Gain
Net Return หรือ Nominal Return = Total Return - all fees
Real Return = Net Return - Inflation Rate

- ความเสี่ยงในการลงทุน
Risk = Actual Return ที่แตกต่างไปจาก Expected Return

ความเสี่ยงประเภทต่าง ๆ ที่นักลงทุนต้องวิเคราะห์

1. Macro Factor

Pervasive Risk
1. Purchasing Power Risk
2. Political (Country) Risk
3. Currency (Exchange) Risk

Systematic Risk
1. Interest Rate Risk
2. Market (Price) Risk

2. Micro Factors

Unsystematic Risk
1. Credit (Company) Risk
2. Sector (Industry) Risk

Pervasive Risk : ความเสี่ยงที่กระจายทั่วถึงกันไม่มีผู้ใดหลบพ้นได้

Purchasing Power Risk คือ ความเสี่ยงต่อการมีอำนาจซื้อลดลงในอนาคต หากภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น ส่วนใหญ่จะเกิดกับการลงทุนระยะยาว ที่มีอัตราผลตอบแทนคงที่ (fixed rate of return) เช่น การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 30 ปี

Political (Country) Risk คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากสถานการณ์การเมืองของประเทศ เช่น การสงครามแย่งชิงอำนาจ การปรับเปลี่ยนคณะรัฐบาล ซึ่งอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ

Pervasive Risk : ความเสี่ยงที่กระจายทั่วถึงกันไม่มีผู้ใดหลบพ้นได้

Currency (Exchange) Risk คือ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา มักจะเกิดขึ้นกับกรณีของการลงทุนข้ามชาติ และมีการนำเงินสกุลอื่น เข้าไปหรือออกจากการลงทุนในประเทศหนึ่ง ๆ หากอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน การลงทุนจากต่างประเทศก็มักจะหยุดชะงักลง

ก่อนวิกฤติทางการเงิน (2539) US$ 1 = 27 บาท

ปัจจุบัน (สิงหาคม 2548) US$ 1 = 41 บาท

Systematic Risk : ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนไม่สามารถลดได้ โดยการกระจายการลงทุน

Interest Rate Risk คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เพราะมีผลกระทบถึงอัตราผลตอบแทน (Yield) ของตราสารหนี้ที่ซื้อขายในตลาดรอง ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ยังทำให้ต้นทุนในการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้น และกำไรลดลงในระยะสั้น ส่งผลกระทบถึงกำไร

Market (Price) Risk คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ลงทุน ทั้ง ๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่จะเห็นได้ชัดในกรณีของตลาดหุ้น เช่น การรับอิทธิพล(Sentiment) จากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหลักของโลก

Unsystematic Risk : ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนสามารถลดได้ โดยการกระจายการลงทุน

Credit (Company) Risk คือ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตัวบริษัทเอง ที่ส่งผลกระทบถึงความสามารถในการจัดการ การแข่งขันในเชิงตลาด ความสามารถในการทำกำไร หรือความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงความเสียหายโดยภัยพิบัติ การถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)
เป็น การนำรายการต่างๆ ในงบการเงินมาเทียบอัตราส่วนเพื่อหาความสัมพันธ์ว่า มีความเหมาะสมเพียงใด การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน 4 ประการ
1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)
2. การวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)
3. การวิเคราะห์ความสามารถ (ประสิทธิภาพ) ในการดำเนินงาน (Efficiency Ratio)
4. การวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนหรือภาระหนี้สิน (Leverage Ratio or Financial Policy Ratio)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)
1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)
วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว
1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน
หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL
เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว
1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย
ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2
หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว
1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)
ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้
ยิ่งต่ำยิ่งดี
แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้
ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ
1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)
สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2
หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว
1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า
ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)
ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี
2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)
1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)
1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)
1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)
อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES
= กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)
ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว
ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย
Dupont Equation
ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity
หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น
= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)
หรือ สมการนี้เท่ากับ
ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)
3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)
ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset)
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover)
อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)
จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ
4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)
เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity)
ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง
แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ
ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)
เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง
อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)
แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ
อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง
สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน
1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี
2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น
3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก
4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ
5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง
7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น
8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่
9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

ข้อมูลนี้นำมาจาก : http://www.bloggang.com,http://www.pawoot.com